ผลการค้นหา: 91

หน้า: (หน้าก่อน)   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  (ต่อไป)
โดย ches makul - Thursday, 16 June 2005, 01:19PM
 

คุณมีปัญหาเหล่านี้หรือไม่

โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคนอนไม่หลับ โรคหืดหอบ ภูมิแพ้ โรคริดสีดวงทวาร โรคโลหิตจาง โรคไต โรคไซนัส โรคตับอักเสบ โรคไมเกรน โรคเกาท์ โรคสมองพิการ โรคสมองเสื่อมอัมพฤกษ์ อัมพาต หญิงวัยทอง ชายวัยทอง โรคกระดูกพรุน ข้อเข่าเสื่อม ปัญหาต่อมลูกหมาก สิว กระ ฝ้า ผมร่วง โรคกระเพาะอาหาร โรคเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศ

โรคเหล่านี้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ ภายในร่างกาย

การใช้ยาเพียงอย่างเดียวนั้น บางครั้งอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ช่วยระงับอาการ ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง อีกทั้งยาต่างๆ ผลิตมาจากสารเคมีซึ่งเมื่อทานไปเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดการสะสมของสารพิษสารเคมี ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมา จึงต้องอาศัยสารอาหารที่มีความเข้มข้นสูง เข้ามาขจัดสารพิษสารเคมีเหล่านี้ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

วงการแพทย์ทั่วโลก กำลังก้าวสู่ยุค ฟังก์ชั่นนัลฟู้ด ทฤษฎีใหม่ทางด้านการรักษา และป้องกันการเจ็บป่วยแบบวิธีโภชนบำบัด เป็นการรักษาที่เน้นเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา ซึ่งเป็นผลงานการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยโดยกลุ่มแพทย์ นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงในสหรัฐอเมริกา ในการวิจัยและพัฒนาเทคนิคใหม่ด้านการรักษา และป้องกันโรค จนค้นพบว่าสารอาหารที่เข้มข้น และบริสุทธิ์ พบว่า

• 90 % ของสารอาหารฟังก์ชั่นนัลฟู้ด (FFC) ร่างกายสามารถดูดซึม และนำไปใช้ได้ทันที

• ส่งผลให้ร่างกายสามารถที่จะพื้นฟูเร็วขึ้น และขบวนการทางเคมีชีวะทำให้อวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานเป็นไปด้วยดี

• ช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง

• ทำให้กระบวนการกำจัดสารพิษของตับทำงานดีขึ้น

• ช่วยปรับสิ่งแวดล้อมในลำไส้ และระบบทางเดินอาหาร ทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ย่อยสลายกากอาหารได้ดีขึ้น

• ไม่มีสารสะสมในร่างกาย


คลอโรฟิลล์และสารอาหารต่างๆ ช่วยทำให้ร่างกายของเรามีผลดีดังต่อไปนี้

1. ป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยการต่อต้านสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และป้องกันเซลล์ของร่างกาย

2. ชะล้างสารพิษในร่างกาย โดยทำปฏิกริยากับสารพิษและกำจัดสารพิษออกจากร่างกายทั้งในเซลล์และ เม็ดเลือดทำให้เลือดสะอาด และไหลเวียนดีขึ้น

3. บำรุงไขข้อและไขกระดูกโดยการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวให้เพิ่มมากขึ้นฟอกไขกระดูกสร้างภูมิต้านทานทำให้อาการปวดข้อและกระดูกหายไปได้

4. ลดอาการของโรคปวดหัวไมเกรน โดยการช่วยการไหลเวียนของเลือด สร้างพลังงานให้กับเส้นเลือดฝอยในสมอง

5. ลดอาการอักเสบของริดสีดวงทวาร โดยลดอาการของเส้นเลือดขอดทำให้การไหลเวียนของเส้นโลหิตดำดีขึ้น

6. รักษาแผลเรื้อรังให้หายเร็วขึ้น เช่น แผลเบาหวานโดยการกระตุ้นเซลล์และเนื้อเยื่อให้เติบโตเร็วขึ้น และคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย

7. ลดอาการภูมิแพ้ โดยต่อต้านและกำจัดสารที่เข้ามาในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้และมีคุณสมบัติในการลดการหลั่งของสารภูมิแพ้และถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรทานร่วมกับวิตามินซี เข้มข้น

8. บำรุงสมองและปลายประสาท โดยการกระตุ้นเซลล์สมองและเซลล์ประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น

9. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและระดับความดันของเลือด โดยรักษาความเป็นกรดและด่างของเลือดให้คงที่ และเลือดมีความหนืดน้องลงเพราะไร้สารพิษ

10. รักษาความตึงของผิวหนัง โดยเลือดที่มาหล่อเลี้ยงผิวหนังไหลเวียนได้ดี และไม่มีสารตกค้างในเซลล์ ทำให้ผิวพรรณผ่องใส ดูอ่อนกว่าวัย

11. ขจัดกลิ่นตัวและกลิ่นลมหายใจในร่างกาย โดยคุณสมบัติของการยับยั้งและกำจัดแบคทีเรีย

12. รักษาระบบทางเดินอาหารและลำไส้ใหญ่ให้ดี โดยปกติแล้วอาหารที่เรารับประทานอาหารที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้หรือเรียกว่าสารพิษ ซึ่งจะสะสมในเซลล์ของร่างกายและเม็ดเลือด


หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผัดเม็ด (วีทกราสและอัลฟัลฟ่า) สอบถามได้ที่บริษัท นู ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์)จำกัด คุณ สุรเชษฐ์ (เก่ง) โทร. 0-29471053 0-40905808


โดย TDH TDH - Tuesday, 17 May 2005, 06:30PM
 

วันนี้ TDH มาเตือนเพื่อนๆเรื่องโรคของสุนัขที่มาพร้อมกับหน้าฝน จะได้เฝ้าคอยระวังกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ โรคที่มากับหน้าฝนเช่น


1.ไข้หวัดสุนัข,ปอดบวม

2.ไข้หัดสุนัข

3.ลำไส้อักเสบ

4.โรคข้ออักเสบจากการลื่นหกล้ม

5.โรคผิวหนังจากเชื้อรา,แบคทีเรีย

6.พวกปรสิต พยาธิ,เห็บ ช่วงนี้จะเยอะมาก

--------------------------------------------

วิธีการสังเกตุอาการ *ไข้หัดสุนัข* ให้เพื่อนๆ ไว้คอยสังเกตุอาการสุนัขของตัวเอง เพราะว่าระหว่างสุนัขที่เป็นไข้หวัดปอดบวมกับไข้หัดสุนัขจะมีอาการที่ค่อนข้างจะคล้ายกันมากในเบื้องต้นที่แสดงอาการ สำหรับไข้หัดในสุนัขหากเราพบอาการแต่แรกคุณหมอสามารถรักษาให้หายได้ รอยโรคที่เห็นชัดเจนในรายที่เป็นไข้หัดสุนัข


1.สุนัขจะซึมเบื่ออาหารหาที่หลบซุกตัวในที่มืดๆ ในขั้นต้นนี้จะมีอาการจมูกแห้งแตก เหงือกแดง ไม่มีอาการหอบ (สำหรับสุนัขที่เป็นไข้หวัดปอดบวม สุนัขจะซึมเบื่ออาหารหาที่หลบซุกตัวในที่มืดๆ ในขั้นต้นนี้จะมีอาการจมูกแฉะบริเวณรูจมูกน้ำมูกใหลใสๆ สุนัขมีอาการไอหอบ )


2.มีไข้ประมาณ 102 F+ ในบางตัวอาจสูงกว่านี้


3.สุนัขที่เริ่มเป็นไข้หัดระยะแรก หลังจากรับเชื้อภายใน 48 ชม.จะมีผิวหนังบริเวณปลายจมูก,อุ้งเท้า,เปลือกตาบนด้านในจะแห้งหยาบ และตาแห้งทำให้มีน้ำตาใหลและขี้ตาเยอะติดแห้งอยู่โดยรอบดวงตา บางตัวถึงกับลืมตาไม่ได้ ในขั้นนี้จะยังไม่มีน้ำมูกซึ่งจะพบน้ำมูกข้นเขียวภายหลังจากได้รับเชื้อไปแล้วเกิน 48ชม. *ในช่วงนี้หากเราพบทันและพาไปพบคุณหมอภายใน 48 ชม.มีโอกาศรักษาให้หายได้*้ (โรคไข้หัดสุนัขตรวจพบได้โดยการตรวจเลือดหรือของเหลวในร่างกายเท่านั้นจึงจะแม่นยำ) หลังติดเชื้อเกิน 48 ชม. แล้วจะมีผื่นเป็นขลุยมีสะเก็ดแห้งบริเวณท้องและบริเวณข้อพับตามร่างกาย ในบางรายอาจมีตุ่มสะเก็ดแห้งๆหรือตุ่มหนองบริเวณท้องและขาหนีบด้วย

ในรายที่พบว่ามีน้ำมูกข้นเขียวจากการติดเชื้อแบคทีเรียแล้วการรักษาจะเป็นการควบคุมอาการไปเรื่อยๆ แต่ไม่รับรองผล 100%นะครับ (บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย)


สำหรับสุนัขที่เป็นไข้หวัดปอดบวม จะมีอาการเหงือกซีด,มีขี้ตาส่วนมากบริเวณหัวตา,ไอหอบหายใจขัดหากฟังเสียงปอดจะได้ยินเสีงน้ำชัดเจน มีน้ำมูกข้นเหลืองใหลตลอดเวลาควรรีบพาไปพบหมอ


4.ในขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้าย ร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง สุนัขบางตัวจะร้องโหยหวล บางตัวจะเดินวนเป็นวงกลม มีอาการชักกระตุก เนื่องจากเชื้อไปทำลายสมอง อึฉี่เรี่ยราด น้ำลายเยอะ อาเจียร หายใจหอบ ตาขาวเปลี่ยนเป็นขาวๆเหลืองๆ นอนอ้าปากตลอดเวลา

ดูแล้วทรมานมากๆ ขออย่าให้เป็นเลย ช่วยกันป้องกันเถอะครับด้วยการฉีดวัคซีนให้สุนัขตามตาราง


** โรคไข้หัดสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งสามารถติดต่อกันได้เร็วมากทั้งทางอากาศและของเหลวจากสัตว์ที่เป็นโรคและยังไม่มีตัวยารักษาในสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการนำสุนัขไปฉีดวัคซีนทุกปีแต่อย่าหวังผล 100% ทางที่ดีควรป้องกันอย่าให้สุนัขไปคลุกคลีกับสัตว์ที่เป็นโรค**


------------------------------


สำหรับสัตว์ที่เสียชีวิตจากโรคควรนำไปทำลายซากโดยการเผา ไม่ควรนำใส่ถุงแล้วไปทิ้งถังขยะเพราะของเหลวที่ออกมาจากตัวสัตว์ที่ตายด้วยโรคมีเชื้ออยู่ ท่านอาจจะฆ่าสัตว์จรจัดตัวอื่นที่มาเลียหรือกินเข้าไป ในทางอ้อมโดยที่ไม่รู้ตัว และทำให้เชื้อแพร่กระจายมากขึ้น สัตว์จรจัดตายเพราะสาเหตุนี้กันเยอะมาก


โดย น้อยหน่า ('.' ) - Friday, 13 May 2005, 03:15PM
 

200 กว่าวันที่หนูจ๋าลืมตามองดูโลกใบนี้ มีเจ้านายถึง 2 คน ให้ความรักในฐานะ นาย ที่ต่างกัน

นายคนนี้ที่ให้ความรัก ความเข้าใจ เอาใจใส่ โอบอุ้มหนูอย่างเอ็นดู พาหนูเที่ยว พาหนูท่องโลกอย่างที่หมาหลาย ๆ ตัวคงไม่ได้พบเจออย่างหนู จนวันหนึ่งโรคร้ายก็เข้ามาสู่ตัวหนู หนูก็ไม่รู้ว่ามันมาอย่างไร หนูไม่อยากเป็นหรอก โรคที่มันคร่าชีวิตหนูให้ต้องจากนายอันเป็นที่รักของหนูไปอย่างไม่มีวันกลับ หนูคิดแต่ว่าหนูจะทน สู้เพื่อที่จะอยู่กับคนที่รักหนู หนูไปหาหมอตามที่นายต้องการ แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย แต่หนูก็ยังสู้นะค่ะ หนูพยายามที่จะกิน กินให้ได้ กินเพื่อจะมีชีวิตต่อ แต่ร่างกายหนูมันไม่ไหวเลย(แย่จัง) จนร่างกายหนูแย่ลงไปอีกนายได้พาหนูไปโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง หนูก็ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน แต่หนูก็ต้องให้น้ำเกลือแล้ว เพื่อให้ร่างกายมีแรงสู้โรคในวันต่อไป วันแรกหนูก็ไม่กลัวนะหนูเป็นเด็กดีด้วยไม่ขู่หมอเลยยอมให้หมอจับ ยอมให้หมอฉีดยาได้สบาย ๆ พอหลายครั้งเข้าหนูเริ่มเจ็บไม่ยอมให้หมอจับแล้ว หมอต้องโทรหานายเพื่อให้มาจับหนูฉีดยา ไม่งั้นหนูจะต่อชีวิตเพื่ออยู่กับนายได้อย่างงัย

นายพยายามหาของกินสารพัดเพื่อให้หนูกินได้ เพราะนายบอกว่าถ้าหนูกินได้หนูจะรอด แต่ร่างกายหนูมันไม่ไหว เชื้อโรคร้ายนี้มันแพร่ไปทั่วแล้ว นายยังพาหนูไปหาหมอตามหมอนัดทุกครั้ง หนูดีใจที่นายพาหนูกลับบ้านไม่ปล่อยให้หนูรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล คงไม่มีที่ไหนอบอุ่น และดีเท่ากับที่บ้าน หนูได้กลับมาเป็นที่รักของนายผู้หญิง หนูได้กลับมาวิ่งเล่น เดินเล่น ตามกำลังที่หนูจะทำได้ในตอนนั้น แต่ช่วงหลังหลายวันมานี้หนูไม่ไหวเลย(แย่อีกแล้ว) แค่เดินกลับหลังฉี่เสร็จหนูยังเดินไม่ไหวเลย ขอนอนพักตรงนี้ก่อนนะ ขอหนูนอนอาบแดดอ่อน ๆ ยามเช้า ขอหนูนอนรับลมเย็น ๆ สักพักก่อนนะค่ะ

ถ้าหนูพูดได้หนูอยากจะบอกนายจังว่า "หนูรักนายจัง" นายดูแลหนูอย่างดีเยี่ยม ไม่รังเกียจที่หนูตัวเหม็นเพราะไม่อาบน้ำมาเป็นเวลานาน ไม่รังเกียจที่จะป้อนข้าวป้อนน้ำ หายุกยามาให้หนูกินเพื่อให้หนูรอด หนูอยากอยู่ต่อคะนายอยู่เพื่อที่จะปกป้องนายอันเป็นที่รักของหนู แม้หนูจะสู้แล้วแต่หนูก็ไม่ไหว ไม่ไหวที่จะรอเพื่อร่ำลาให้เห็นหน้าก่อนจะจากกันและตายคาตักของนายทั้งสอง

ขอบคุณที่ให้ความสดใส ความน่าอยู่บนโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ ให้หนูรู้จักโลกกว้าง พาหนูท่องเที่ยวแบบว่านายไปไหนหนูไปด้วย คุ้มค่าชีวิตหนูที่มีเพียงแค่ 200 กว่าวันแล้วละค่ะ

ตอนนี้หนูสบายดีจังคะนาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ทุกข์แล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะค่ะนายทั้งสอง

หนูจ๋า



โดย Pingpong \(-_-)/ - Thursday, 12 May 2005, 06:13PM
 

วันก่อนมีคนถามว่าเป็นฮีทกับเป็นสัดต่างกันอย่างไร   ก็ตอบแบบไม่แน่ใจไปว่า

17:25 - 10/05/05 ปิงปอง คุณเคี้ยง ผมไม่แน่ใจนะว่าเขาทำไมใช้ฮีท แต่คิดว่าใช้กับตัวเมียที่พร้อมจะรับการผสมพันธุ์ เข้าใจว่าเกี่ยวกับอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นหรือเปล่า ส่วนคำว่าเป็นสัด รู้สึกจะใช้ได้ทั้งตัวผู้ตัวเมีย ใครรู้ช่วยบอกด้วย

แต่พออ่านเรื่องของแช้ปปี้ข้างบนนี้แล้ว   เลยงงว่าแช้ปปี้นี่ตัวผู้หรือตัวเมีย   ลองค้นใน http://shappy.bangkaew.com/ ก็ไม่ได้บอกไว้

อ่านจากเรื่องที่เขียนมา  ขอเดาว่าเป็นตัวเมีย   เพราะอาการคล้ายปิงปองเวลาเป็นฮีท   หอนหาแฟนทั้งคืน   แล้วก็จะมีตัวผู้มาหาถึงหน้าบ้าน  พร้อมกับฉี่ฝากรอยรักไว้ที่รั้ว   ปิงปองก็จะไปดมและเลียเหมือนแช้ปปี้

แต่สงสัยว่ากรณีของแช้ปปี้   ทำไมมีหมาตัวเมียตัวนึงอยู่ที่ท้ายซอยมาดมๆ ฉี่ๆอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน   แสดงว่านแช้ปปี้เป็นตัวผู้  ได้กลิ่นตัวเมียที่เป็นฮีท   ก็เคยเกิดอาการติดสัด  ใช่หรือเปล่า  งง  ตาโต


โดย นิวัต เจริญชล - Saturday, 7 May 2005, 05:58PM
 

การทำงานของเชื้อโรคที่มีต่อลูกๆเรา และอาการที่จะแสดงออกเป็นดังนี้ครับ

เมื่อเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว เชื้อจะเพิ่มจำนวน และแพร่ทางหลอดน้ำเหลืองไปยังต่อมน้ำเหลือง เมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมก็จะเกิดกลไกทำลายเชื้อโรค ทำให้ต่อมน้ำเหลืองถูกทำลายไปพร้อมๆกับเชื้อไวรัส อาการในช่วงแรกนี้พบว่ามีไข้สูง และอาจพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวที่คอยเก็บกินไวรัสพวกนี้จะต่ำลง จากนั้นเชื้อที่เหลือจะแพร่กระจายไปยังเยื่อบุอวัยวะต่างๆ โดยเป้าหมายแรกคือทางเดินหายใจ อาการจาม น้ำมูกใส น้ำตาคลอเบ้าจะปรากฏให้เห็น อาการที่แสดงในระยะต้นนี้คล้ายคลึงกับอาการของไข้หวัด จึงอาจทำให้เราสับสนได้ว่าเป็นไข้หวัดหรือไข้หัดกันแน่

 

เนื่องจากเชื้อก่อโรคเป็นไวรัส แน่นอนค่ะว่ามันต้องกดภูมิคุ้มกันของสุนัขอย่างแน่นอน ช่วงนี้จะมีแบคทีเรียและเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน สุนัขที่อ่อนแอจะเริ่มแสดงอาการมากขึ้น จากเดิม จาม 1-2 ครั้ง น้ำมูกน้ำตาใส ก็จะเริ่มมีน้ำมูกข้นสีเหลืองจนถึงเขียว ขี้ตาเกรอะกรังรอบตา จมูกและฝ่าเท้าเริ่มหนาและด้านขึ้น มีตุ่มหนองใต้ท้อง ไอถี่เหมือนมีอะไรติดคอและทำท่าพยายามขากอะไรออกมา อาจเป็นสารคัดหลั่งสีขาวปนออกมาเล็กน้อย มาถึงระยะนี้ต้องระวังปอดบวมเป็นพิเศษแล้วล่ะค่ะ

เชื้ออีกส่วนหนึ่งที่แพร่ไปยังเยื่อบุอวัยวะอื่นๆ ได้แก่เยื่อบุทางเดินอาหาร เยื่อบุระบบสืบพันธุ์และระบบขับถ่าย จะทำลายต่อมน้ำเหลืองอื่นๆทั่วร่างกายจนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขถูกทำลายเสียหายในเวลาต่อมา ช่วงนี้จะเริ่มมีอาการถ่ายเหลว สีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลเป็นระยะ ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ค่อยๆสูงขึ้นอย่างช้าๆ จนอาจทำให้สัตว์รอดชีวิตได้ซึ่งพบได้ในกรณีที่สุนัขได้รับไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรงมากนักหรือไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะคงอยู่และแพร่ไปยังม่านตา, เซลส์ประสาท, ฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการแสดงอาการทางประสาทให้เห็น ได้แก่ กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินเอียงวนเป็นวงกลม ตากรอกไปกรอกมา ไม่สู้แสง จนถึงตาบอด และอาจมีชักและเคี้ยวปากได้ในระยะต่อมาซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค พบว่ามี 10-20 % ที่สามารถรอดชีวิตได้แต่ยังคงแสดงอาการทางประสาทซึ่งอาจต้องกินยาควบคุมอาการชักไปตลอดชีวิต

 


โดย sopida thanasountornkul - Saturday, 7 May 2005, 02:56PM
 

เศร้ามีข้อสงสัยอยากจะถามผู้ที่เคยพบกับอาการของน้องบางแก้วค่ะ

    2 - 3 วันที่ผ่านมาจนวันนี้ น้องมูมู่ มีอาการซึมๆ ไม่เล่น มีขี้ตาออกเหลืองๆ เช็ดแล้วสักพักก็มีขี้ตาออกมาอีก แล้วก็นอนทั้งวัน แต่เขาก็ไม่ได้ซึมจนไม่เล่นนะค่ะ เขาก็เล่นเหมือนเดิม ยังชอบกัดแขนพ่อกับแม่ เขามีปัญหาด้านร่างกาย หรือจิตใจค่ะ

    ช่วงหลังๆ กลับบ้านดึกมาก เป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาซึมไปหรือเปล่า หรือเป็นเพราะให้เขาเล่นน้ำมากเกินไป เพราะถ้าเขาอยู่คนเดียว จะไม่มีใครเช็ดตัวให้ แต่ถ้าอยู่พอเขาเล่นก็จะรีบเช็ดให้แห้ง บอกทราบวิธีการตรวจสอบอาการเหล่านี้ด่วน รบกวนด้วยนะค่ะ เป็นห่วงมูมู่มาก กลัวว่าเขาเป็นอะไร เพราะเขาเพิ่งจะ 2 เดือน18 วันเองค่ะ ... ขอบคุณล่วงหน้าค่ะขอบคุณ


โดย นิทัสมัย รัญเสวะ - Tuesday, 22 March 2005, 11:43AM
  คุณเอ้ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าลักกี้และครอบครัวคุณเอ้ด้วยนะคะ ยังไม่หมดหวังคะ ....สุนัขของน้องชาย (Labardor ชื่อหนู Pine) ก็เป็นโรคหัดตั้งแต่ยังเล็ก หมอบอกว่าไม่มีทางรอด เค้าทรมานมากช่วงที่เป็น น้องชายสงสารเค้ามาก และขอให้หมอฉีดยาให้เค้าหลับ แต่เค้ายังทานอาหารได้ หมอเลยไม่ยอมฉีดยาให้ น้องชายดูแลเค้าอย่างใกล้ชิด แล้วเค้าก็มีอาการดีขึ้น และในที่สุดเค้าก็ไม่เสียชีวิต ถึงแม้ว่าผลจากโรคนี้จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเค้าไม่ดีไปตลอดชีวิต และขาเค้าจะกระตุกๆตลอดเวลา แต่เค้าก็รอดตายมาได้ และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขจนทุกวันนี้ .... เค้าก็ต่อสู้โรคนี้ได้ คิดว่าอาหารที่เค้ากินทำให้เค้าแข็งแรงขึ้น .... สู้ต่อไปนะเจ้าลักกี้น้อย ขอให้หายเร็วๆคะ

โดย ชัยรัตน์ แซ่เจี่ย - Wednesday, 16 March 2005, 09:48AM
 

เป็นที่ทราบกันดีว่าในหน้าร้อนนั้นอุณหภูมิค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่อุณหภูมิของอากาศเท่านั้นที่สูง อุณหภูมิในร่างกายของน้องหมาก็สูงตามไปด้วย วันนี้DogCareขอนำเสนอเกี่ยวกับวิธีการดูแลน้องตูบในหน้าร้อนมาฝากกัน อย่างแรกที่ต้องดูแลคือการนำตูบไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นโรคที่มักระบาดหนักในช่วงหน้าร้อนนี้โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่หาย(ตายสถานเดียว) เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามความปลอดภัย.. รีบพาเจ้าสี่ขาไปฉีดวัคซีนกันเถอะครับ ต่อมาก็คือในเรื่องของอาหารการกิน เนื่องจากในหน้าร้อนนี้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ควรระวังในเรื่องของอาหารการกินของสุนัขเป็นพิเศษ...น้ำที่ให้ควรเป็นน้ำสะอาดปราศจากสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศษอาหาร ฯลฯ ที่อาจปนเป้อนมากับน้ำ และที่สำคัญควรมีน้ำดื่มที่สะอาดไว้ให้สุนัขตลอดเวลา ระมัดระวังการระบาดของเห็บหมัดในหน้าร้อน..หมั่นดูแลในเรื่องของสุขภาพของสัตว์เลี้ยงที่รักอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้น้องหมาและเจ้านายก็จะมีความสุขในหน้าร้อนนี้อย่างไร้กังวล..

ปล. ฝากความคิดถึงไปยังพี่ๆเพื่อนๆสมาชิกชุมชนคนรักบางแก้วทุกท่านด้วยนะขอรับ หากมีสาระหน้ารู้ที่จักเป็นประโยชน์ น้องคนนี้จะนำมาบอกเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้เลี้ยงสุนัขทุกท่านต่อไป..


โดย เพื่อน . - Thursday, 10 March 2005, 08:16PM
 

ถ้าเป็นตัวเขาละก็ใช้ได้ทีเดียว และสายของเขาถ้ายังชิดก็มีอยู่บ้างละครับ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการเลี้ยงดูครับ เรารักเขา เขาก็รักเรา อย่ากังวลว่าเขาจะกัดเรา เขาไม่ทำเราหรอกครับ นอกจากมีเหตุ เช่น 

-ถ้าเขากัดกันอยู่แล้วเราเข้าไปห้าม

-เขานอนหลับแล้วเราเข้าไปเล่นโดยไม่มีการแสดงให้เขารู้ก่อนว่าเป็นเรา (เขาตกใจ)

-ในขณะที่เขากินอาหารที่ชอบมากๆ แล้วเราเข้าไปใกล้ๆเขา ในกรณีนี้ถ้ามีการฝึกเขาเขาก็จะไม่ทำร้ายเรา

โฮโมนด์หาได้จาก ร้านขายยาของคนนี่แหละครับ บอกเขาว่า ต้องการโฮโมนด์เอสโตรเจน แค่นี้ก็ได้แล้วครับ แต่อย่าให้กินเป็นประจำนะครับ ต้องให้กินเป็นช่วงๆ แล้วต้องเว้นนะครับ ไม่อย่างนั้นจะสะสมในร่างกายคงไม่เป็นผลดีต่อเขาแน่นอนลองปรึกษาสัตว์แพทย์ก่อนก็ได้ครับ เพราะผมเคยได้ยินว่า สุนัขที่ประกวดกันในสมัยก่อนๆเขาใช้กัน(ฟังคนอื่นมาบอกต่อนะครับ) จะช่วยให้เขาดูใจดีขึ้นเยอะ


โดย Pingpong \(-_-)/ - Monday, 14 February 2005, 01:08PM
 
เพื่อให้ชมรมนี้ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในเร็วๆนี้  เชิญคุยกันต่อที่กระทู้
การเตรียมการจัดตั้งชมรมผู้เลี้ยงบางแก้วแห่งประเทศไทย

หน้า: (หน้าก่อน)   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  (ต่อไป)