ผลการค้นหา: 91

หน้า: (หน้าก่อน)   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  (ต่อไป)
โดย อาสา ซ่า - Wednesday, 7 September 2005, 11:39AM
 

ได้คุยกับ บก Pet News ทราบว่าทาง web บางแก้วจะช่วยลงข่าวให้เลยตามมาดู ขอขอบพระคุณมากครับ

บังเอิญบอก Pet News ว่าถ้าว่างขอเชิญมาทำข่าว เนื่องด้วยว่างานนี้เป็นครั้งแรก และจะทำเหมือน Pilot เพื่อปรับปรุงงาน หาข้อดี-เสีย เพื่อปีหน้าจัด จะขอ sponsor ทำเป็นงานจริงจังต่อไป

จริงๆ แล้วแผนงานที่ post นี้มันเป็นร่างอันแรกครับ สรุปสุดท้ายและกิจกรรมในงานสามารถอ่านได้ที่ http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J3710660/J3710660.html

ขอบพระคุณทางชุมชนคนรักบางแก้วมากที่ช่วยประชาสัมพันธ์และเห็นประโยชน์ของการจัดกิจกรรมสุนัขเพื่อคนเลี้ยงสุนัขส่วนใหญ่ ผมพยายามเสนอแนวคิดนี้ไปให้หลายๆ ที่ ก็ได้รับการตอบสนองกลับมาบ้าง น่าจะอีกไม่นานที่จะมีงานแนวนี้ออกมาจริงๆ จังๆ ซักทีนะครับ


โดย ไตรสิทธิ์ . - Friday, 2 September 2005, 06:18AM
 

คุณเพื่อนบางแก้ว   ช่วยรับหน้าที่ไปหาวิทยากรและกำหนดรายละเอียดมาเลยนะครับ   ถ้าหาไม่ได้   ต้องพูดเอง   เพราะติดค้างมาจากคราวที่แล้ว   ผมจะประชาสัมพันธ์ให้   

ให้คุณโหน่งชวนกลุ่มบางแก้วสัมพันธ์พาหมาไปเที่ยวด้วย   อย่างน้อยคงได้คนฟังไม่ต่ำกว่า 10 คนแล้ว

ผมจะเอาหนังสือมีหมาเป็นเพื่อนไปแจกให้ผู้ที่จะเข้าร่วมสัมนา

คุณอาทร รองประธานฝ่ายสิ่งพิมพ์  ก็ช่วยเอาเอกสารไปแจกด้วย

คุณชนินทร์ ไปรับจองคิวทำหมันหมา  ให้ป้าชัชช่วยประสานกับ ร.พ เกษตร

คุณนิวัตกับหมูปิ้งเอารูปบางแก้วหาบ้านไปติดบอร์ด

ใครมีลูกสุนัข  เลี้ยงไม่ไหว  ก็เอาไปหาคนเลี้ยงที่รักบางแก้ว  ดีไหม

22:26 - 27/08/05 เพื่อนบางแก้ว ถึงป้าชัช วันนี้ชุมชนเราก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว อยากเห็นกิจกรรมเล็กๆของชมรมเราซักหน่อย พี่คมกฤต(คุณพ่อปีใหม่) พี่พชร ได้โทรมาพูดคุยกัน อยากให้มีการสัมนาเรื่องการเลี้ยงดูลูกสุนัขบางแก้ว และการเลือกลูกสุนัขเพื่อมาเลี้ยงดูกันครับ


โดย น้ำมนต์ วงศ์มินตรา - Thursday, 25 August 2005, 04:35PM
 

วันนี้น้องน้ำมนต์ขอตอบคำถามของคุณ test ที่ถามไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ดูๆแล้วพี่พายุเป็นหมาที่มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์ คุณ test อยากรู้ว่าพี่พายุมีจุดอ่อนบ้างไหม และนิสัยใจคอของพี่พายุกับน้องน้ำมนต์แตกต่างกันหรือไม่ ต่างกันอย่างไร


จุดอ่อนข้อแรกของพี่พายุเป็นจุดอ่อนด้านร่างกาย อย่างที่พี่พายุเคยคุยเกี่ยวกับตัวเองไว้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน น่ะค่ะว่า ถ้าเปรียบกับขนมไหว้พระจันทร์ พี่พายุก็จัดอยู่ในประเภทโหงวยิ้งไข่เดี่ยว ซึ่งเป็นลักษณะด้อยที่สำคัญประการหนึ่งของหมาพันธุ์บางแก้ว อาโกวเคยอ่านพบว่าพวกไข่เดี่ยวนี่จะดุมาก พี่พายุก็เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ พี่พายุดุมาตั้งแต่เล็กๆ พอโตขึ้นมาก็กัดคนในบ้าน กัดแบบเอาจริงเอาจัง กัดโดยไม่มีเหตุผล พี่พายุเคยคำรามแยกเขี้ยวใส่โกวป้าตอนที่พี่พายุนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอาโกวกับโกวป้าบนชิงช้า เพราะพี่พายุได้กลิ่นหมาตัวอื่นจากเสื้อผ้าของโกวป้า และที่สำคัญคือพี่พายุไปคำรามและแยกเขี้ยวใส่อาม่าน่ะค่ะ คือ อาม่านั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟา พี่พายุก็นอนอยู่ใกล้ๆอาม่า พอพี่พายุลืมตาขึ้นมาอาม่าก็กำลังพลิกหนังสือพิมพ์แกรกกรากอยู่พอดี พี่พายุรีบชันตัวขึ้น อาม่าก็เรียกออกไปว่า "พาย" พี่พายุก็ส่งเสียงขู่อาม่าเลยค่ะ อาม่าเรียกพี่จอยให้เอาตัวพี่พายุออกไป พี่พายุก็ออกไปดีๆ พี่ชายของอาโกวเป็นห่วงอาม่า เลยบอกว่าถ้าอาโกวไม่อยู่ในบ้าน ก็อย่าให้พี่พายุเข้าบ้าน เพราะความดุอย่างไม่มีเหตุผลของพี่พายุนี่แหละค่ะ ทำให้เกิดจุดอ่อนด้านร่างกายข้อที่ 2 ตามมา คือ พี่พายุโดนผ่าตัดทำหมันค่ะ


การที่จะทำให้พี่พายุดุน้อยลงหรือกัดคนได้น้อยลงนั้นมีทางเลือกอยู่ 2-3 ทางค่ะ คือ ตัดเขี้ยวและ/หรือตัดไข่ อาโกวคิดว่าถ้าพี่พายุถูกตัดเขี้ยว พี่พายุก็จะยังคงดุอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่กัดไม่ค่อยเข้าเท่านั้น และอาโกวเห็นว่าพี่พายุชอบกัดโน่นแทะนี่อยู่ตลอดเวลา ถ้าพี่พายุไม่มีเขี้ยวพี่พายุคงจะหมดความสุขไปเยอะเลย อาโกวเลยพาพี่พายุไปผ่าตัดทำหมัน ซึ่งทำให้รู้ว่าที่จริงพี่พายุมีไข่ 2 ใบ แต่ตกลงมาเพียงใบเดียว ส่วนไข่อีกใบหนึ่งนั้นซ่อนอยู่ที่ขาหนีบ ซึ่งใบที่ซ่อนอยู่นี้ถ้าทิ้งไว้ ต่อไปก็อาจทำให้เป็นมะเร็งได้ค่ะ แต่หลังจากที่ผ่าตัดทำหมันแล้วพี่พายุก็ยังดุอยู่ อาโกวบอกว่าถ้ารู้ว่าผ่าตัดทำหมันแล้วพี่พายุยังดุอยู่อย่างนี้ อาโกวก็จะไม่ทำหรอกค่ะ แต่โกวติ๋มบอกว่าถ้าไม่ผ่าตัดทำหมันพี่พายุอาจจะดุกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อาโกวก็เลยต้องปลอบใจตัวเองโดยคิดถึงข้อดีที่พาพี่พายุไปผ่าตัดทำหมัน คือได้ตัดไข่ใบที่ซ่อนอยู่ออกไปน่ะค่ะ


พี่พายุมีจุดอ่อนด้านจิตใจด้วยค่ะ คือ พี่พายุกลัวเสียงดัง โดยเฉพาะเสียงพลุ เสียงประทัด เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า พี่พายุหูไวมาก เสียงพลุจากที่ไกลๆ พี่พายุก็ได้ยินค่ะ เวลามีงานเทศกาลที่เขาจุดพลุกันตอนกลางคืน พี่พายุจะไม่มีความสุขเลย พอใกล้ค่ำพี่พายุจะกระวนกระวาย ถ้ามีเสียงพลุตอนใกล้ค่ำพี่พายุจะรีบเข้ากรงโดยไม่ยอมกินข้าว ช่วงที่เขาจุดพลุจุดประทัดกันนี้อาโกวต้องรีบให้พี่พายุกับน้องน้ำมนต์กินข้าวก่อนค่ำค่ะ


ส่วนเรื่องนิสัยใจคอของพี่พายุกับน้องน้ำมนต์ก็มีแตกต่างกันมากเหมือนกันค่ะ ซึ่งก็คงจะทยอยออกมาตอนน้องน้ำมนต์เล่าถึงเรื่องต่างๆในวันต่อๆไป คุณ test คงจะติดตามอ่านนะคะ คุณ test น่ะเหมือนโกวป้าเลยค่ะ คือ รักแต่พี่พายุ คุณ test ยังไม่เคยเข้ามาทักน้องน้ำมนต์เลยนะคะ


คุณ Jai คะ น้องน้ำมนต์ก็อยากโพสต์รูปของน้องน้ำมนต์นะคะ แต่ตอนนี้กำลังเล่าถึงเรื่องของพี่พายุตอนที่พี่พายุยังเล็กๆอยู่น่ะค่ะ แล้วตอนนั้นน้องน้ำมนต์ยังไม่ได้มาอยู่กับอาโกวเลยค่ะ พอน้องน้ำมนต์บอกพี่พายุว่าน้องน้ำมนต์อยากจะโพสต์รูปของน้องน้ำมนต์บ้างพี่พายุก็บอกว่า "ยังโพสต์รูปน้องน้ำมนต์ตอนนี้ไม่ได้หรอก มันข้ามขั้นตอน" น้องน้ำมนต์ก็ค้อยคอยค่ะว่าเมื่อไหร่จะถึงตอนที่น้องน้ำมนต์มาอยู่กับอาโกวแล้วซะที ตานี้ละ น้องน้ำมนต์จะโพสต์รูปของน้องน้ำมนต์ติดๆกันหลายๆวันเลยค่ะ


รูปที่ 103 "พายุชอบไอ้ปุ่มๆพวกนี้คับ เคี้ยวมันจิงๆเยย

พายุจาเคี้ยวให้หมดทุกอันเยย อันข้างบนโน้นพายุก้อหมายตาไว้แย้วคับ"



โดย Pingpong \(-_-)/ - Thursday, 4 August 2005, 03:25PM
 
ฮือฮา “หมาโคลนนิง” ตัวแรกของโลกดูภาพชุดจาก Manager Multimedia
โดย ผู้จัดการออนไลน์4 สิงหาคม 2548 05:07 น.

สนัปปี้ (กลาง) พร้อมครอบครัว ตัวพ่อคืออาฟกัน ฮาวนด์ (ซ้าย) ผู้ให้เซลล์บริเวณหูไปเพาะเป็นสเต็มเซลล์ ส่วนตัวแม่คือลาบาดอร์ รีทรีฟเวอร์ (ขวา) รับอุ้มบุญ หมาโคลนนิงตัวแรกของโลก

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
สนัปปี้ขณะวิ่งเล่นโชว์ตัวในงานแถลงข่าว บริเวณมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล

ทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ศ.หวางอยู่ตรงกลาง และ ดร.ชาตเท็น ด้านขวาสุด พร้อมด้วยสัตว์ทดลองของทีมงาน

ศ.หวางโพสต์ท่ากับสนัปปี้

       เนเจอร์/เอเอฟพี/รอยเตอร์ – “หวาง วู-ซก” ทำแฮตทริกสร้างผลงานอันน่าตื่นเต้นปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี โชว์ “สนัปปี้” สุนัขโคลนนิงตัวแรกของโลกสู่สาธารณะ หลังจากเพิ่งเปิดเผยไปหมาดๆ ว่าเขาและนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ พร้อมด้วยเจ้าของแกะดอลลีกำลังซุ่มสร้างผลงานครั้งสำคัญ โดยหวังจะใช้การโคลนนิงสุนัขเป็นตัวอย่างหาผลดีผลเสียก่อนการโคลนนิงมนุษย์
       
       
ทีมนักวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้ได้ประกาศวานนี้ (3 ส.ค.) ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการโคลนนิงสุนัขตัวแรกของโลก ซึ่งทำสำเนาเลียนแบบสุนัขอาฟกัน ฮาวนด์ (Afghan Hound) เพศผู้วัย 3 ปี โดยการโคลนนิงครั้งนี้ใช้เทคนิควิธีเดียวกับ “แกะดอลลี” เจ้าสุนัขลอกแบบที่ทีมนักวิจัยเกาหลีนำมาโชว์นี้มีนามว่า “สนัปปี้” (Snuppy) อันย่อมาจาก “Seoul National University puppy” หรือ ลูกหมาของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
       
       ”สนัปปี้” เกิดเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ถูกเก็บซ่อนหลบสายตาชาวโลกอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) ในเกาหลีใต้เป็นเวลากว่า 9 สัปดาห์ เจ้าหมาตัวนี้แม้ว่าจะกำเนิดออกจากท้องของลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ สีเหลือง แต่เจ้าสนัปปี้กลับมีขนสีดำ แทนและขาว และลักษณะทางดีเอ็นเอเหมือนกับเจ้าอาฟกัน ฮาวนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) จากบริเวณหู และนำตัวอ่อนกว่า 1,095 ตัวที่นำไปเพาะในสุนัข 123 ตัวเพื่อให้สุนัขเพศเมียเหล่านี้สร้างลูกสุนัขสุขภาพดีขึ้นมา
       
       อย่างไรก็ดี มีตัวอ่อนแค่เพียง 3 ตัวที่เจริญเติบโตติดมดลูกของสุนัขตัวเมีย แต่ขณะคลอดก็เหลือรอดออกมาเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น นับว่ามีอัตราความสำเร็จ 1.6% ซึ่งนอกจากสนัปปี้ที่มีน้ำหนักแรกเกิด 530 กรัม แล้วยังมีลูกหมาอีกตัวชื่อ “เอ็นที-2” (NT-2) ด้วยน้ำหนักแรกเกิด 550 กรัม แต่ก็ตายลงด้วยโรคปอดอักเสบด้วยอายุแค่ 22 วัน อีกทั้งผลการตรวจสอบหลังการตายพบก็ไม่พบปัญหาทางกายวิภาคอันนำไปสู่การตายของของ NT-2
       
       หลังจาก “แกะดอลลี” ปรากฏกายสู่สายตาชาวโลก เมื่อเดือน มิ.ย. 2539 นั่นก็เกือบทศวรรษมาแล้ว แต่ความก้าวหน้าในวงการโคลนนิงดูเหมือนว่าจะขยับไปได้ไม่ไกลอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ซึ่งแม้แต่ดอลลีเองก็จบชีวิตลงในเดือน ก.พ.2546 หลังจากเจ็บป่วยด้วยโรคข้ออักเสบจากการแก่ก่อนวัยและอาการไตถดถอย เพราะการโคลนนิงสัตว์ขึ้นมานั้นทำให้เป็นจริงได้ยาก และทุกๆ สายพันธุ์ที่แสดงออกต่างก็มีปัญหาต่างๆ กันไป แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดูเหมือนถูกต้อง แต่ตัวอ่อนที่ได้รับการโคลนส่วนใหญ่กลับใช้ไม่ได้ เพราะยีนแสดงผลไปในทางผิดปกติ ซึ่งแกะ หนู วัว แพะ หมู กระต่าย แมว ลา และม้าก็เคยถูกโคลนนิงด้วยวิธีนี้
       
       สำหรับสุนัขแล้ว ความท้าทายสำคัญคือการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไข่ที่ใช้ได้ สุนัขเป็นสัตว์ที่ต้องใช้เทคนิคเคล็ดลับมากเป็นพิเศษในการโคลน เพราะไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่นั้นเก็บเกี่ยวออกมาใช้ได้ยาก ต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์อื่นๆ โดยไข่ของสุนัขจะตกตั้งแต่ยังไม่สุก แล้วเข้าสู่ช่องพิเศษเพื่อพัฒนาให้ไข่สุกอีก 2-3 วัน
       
       ทั้งนี้ ทีมงานได้ได้พยายามเก็บไข่สุนัขที่ไหลออกจากรังไข่และเติบโตขึ้นเดินทางสู่มดลูกและท่อรังไข่ ซึ่งการเก็บไข่ที่จุดตกไข่และพยายามเพาะให้เจริญขึ้นในหลอดทดลองนั้นล้มเหลว ดังนั้นทีมนักวิจัยจึงได้ดึงไข่ออกมาตั้งแต่อยู่ในท่อรังไข่ด้วยสารละลายที่พัฒนาขึ้นมาเอง จากนั้นนิวเคลียสหรือบริเวณใจกลางของไข่เหล่านั้นก็ถูกแยก และแทนที่ด้วยนิวเคลียสของเซลล์จากหู เซลล์ที่หลอมเข้ากันได้ด้วยดีก็จะถูกนำไปปลูกถ่ายในสุนัขเพศเมีย
       
       การทดลองที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งครั้งนี้เป็นผลงานจากทีมงานของ “ศ.หวาง วู-ซก” (Woo Suk Hwang) นักวิจัยทางด้านโคลนนิง-สเต็มเซลล์ชื่อดังชาวเกาหลี โดยก่อนหน้านี้เขาได้สร้างผลงานอันสำคัญยิ่งต่อวงการ คือการสร้างตัวอ่อนมนุษย์จากการโคลนนิง และเพาะพันธุ์สเต็มเซลล์ในร่างกายมนุษย์ได้ ส่วนผลงานการโคลนนิงสุนัขครั้งนี้เขาได้ตีพิมพ์ผลงานลงวารสาร “เนเจอร์” ฉบับล่าสุด
       
       ดร.หวางพร้อมทีมงาน 15 คนใช้เวลา 2 ปีครึ่งสร้าง “สนัปปี้” ขึ้นมาจนสำเร็จ
       
       
“เขาน่ารักมาก ถ้าคุณมาที่นี่และพบเขา คุณจะต้องหลงรักเขาเป็นอย่างแน่แท้” ดร.หวางกล่าว พร้อมทั้งเพิ่มเติมว่าสนัปปี้ช่างเหมือนกับหมาเจ้าของเซลล์ ซึ่งตรงจุดนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเหตุใดลักษณะของทั้ง 2 ตัวถึงได้คล้ายกัน ซึ่งหมาเจ้าของเซลล์ที่นำมาเป็นเซลล์ต้นกำเนิดนั้นเป็นของศาสตราจารย์ทางด้านสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัย และที่ ศ.หวางเลือกเซลล์ของอาฟกัน ฮาวนด์ มาใช้ก็เพราะขนาดและลักษณะที่โดดเด่น แต่ก็ย้ำว่า “จุดประสงค์ของการวิจัยก็เพื่อสร้างสัตว์ทดลอง ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง”
       
       “แต่ลูกหมาตัวนี้เป็นของมวลมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ของผม หรือของหมาเจ้าของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด” ศ.หวางกล่าว และเปิดเผยว่าที่นำสนัปปีออกมาเปิดเผยนั้น เพราะต้องการสร้างโมเดลในการโคลนนิง เพื่อเป็นตัวอย่างสู่การรักษาโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์
       
       ทางด้าน ดร.เจอราด ชาตเท็น (Gerald Schatten) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (University of Pittsburgh) ซึ่งร่วมการศึกษาครั้งนี้ เปิดเผยว่า การโคลนนิงสุนัขอาจช่วยนักวิทยาศาสตร์ให้ศึกษาโรคร้ายที่มีผลกระทบต่อบรรดาสุนัข เช่นเดียวกับบางโรคในมนุษย์ อย่างเช่น มะเร็งและเบาหวาน ซึ่งเทคนิคการใช้สเต็มเซลล์เพื่อการอายุรแพทย์นั้นควรจะต้องทดสอบในสุนัขก่อน จึงจะสามารถนำไปพัฒนาใช้ต่อในมนุษย์ได้
       
       “การศึกษาถึงความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพของเทคนิคนี้จากเพื่อนสัตว์เลี้ยงของพวกเราเอง อาจทำให้เรารู้ว่ามันจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแค่ไหนหากนำไปใช้กับคนที่เรารัก” ดร.ชาตเท็นกล่าว และเชื่อว่าความสามารถในการโคลนนิงสุนัขครั้งนี้จะช่วยให้การพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนทางพันธุกรรม อันนำไปสู่ลักษณะนิสัยของสายพันธุ์ผสม และอนุรักษสายพันธุ์หายาก
       
       อย่างไรก็ดี มาร์ก เวสธูซิน (Mark Westhusin) นักชีววิทยาเจริญพันธุ์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เอแอนด์เอ็ม (Texas A&M University) ซึ่งโด่งดังมาจากการโคลนนิงแมวตัวแรกของโลก ก็เคยพยายามโคลนสุนัข โดยใช้เวลากว่า 3 ปี แต่ก็มีอันต้องล้มเลิกโครงการ โดยเจ้าของผลงานแมวโคลนนิงกล่าวถึงความสำเร็จของนักวิจัยเกาหลีใต้ครั้งนี้ว่ายอดเยี่ยมนัก แต่สุนัขโคลนนิงอาจจะคุ้มค่าอะไรเลย
       

       “มันช่วยเพิ่มเติมความฝันร้ายที่ไปทำงานกับสิ่งมีชีวิตพวกนี้ พวกเรารู้และคาดการณ์ได้ว่ามันก็จะทำได้ในอีกไม่กี่ปี แต่จะต้องอุทิศเวลา เงินและความมานะพยายามไปมากแค่ไหนเพื่อให้ผลงานชิ้นนี้สำเร็จขึ้นมา” เวสธูซินเผย พร้อมกับแจงว่าเขาต้องการเห็นผลงานที่ใช้กรรมวิธีที่ง่ายขึ้นกว่านี้ อย่างเช่น การพัฒนาฮอร์โมนเข้าไปทำให้สุนัขตกไข่ หรือวิธีในการเพาะไข่ในหลอดทดลองมากกว่า
       
       ทางด้าน เฟรดา สกอต-พาร์ก (Freda Scott-Park) ประธานสมาคมสัตวแพทย์อังกฤษ (British Veterinary Association) ได้เตือนว่าการทดลองครั้งนี้อาจนำไปสู่คำถามถึงจริยธรรมที่นักวิทยาศาสตร์ควรมี โดยเทคนิคที่พัฒนาขึ้นแม้ว่าจะทำให้เข้าใจโรคและสามารถรักษาโรคร้ายต่างๆ ได้ แต่การโคลนนิงสัตว์ทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและศีลธรรมขึ้นมามากมาย ซึ่งจะต้องนำไปถกเถียงในวงวิชาชีพต่อไป
       
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9480000104281

โดย นิวัต เจริญชล - Sunday, 24 July 2005, 07:22PM
 

พี่อ๊อดได้เล่าให้ฟังถึงอาการล่าสุดว่า กระดูกที่ดันกลับเข้าที่ได้เชื่อมกันแล้ว และสภาวะโรคพยาธิเม็ดเลือด นั้นก็หายดีแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพักฟื้นร่างกาย ต้องทำการบริหารขา ให้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้ลีบ เพื่อที่จะสร้างโอกาสกลับมาเดินได้ให้มากที่สุด ยาก็มียาที่จ่ายมาจากคลีนิค เป็นยาบำรุงประสาท กินเช้า-เย็น, ยาบำรุงตับ กินเช้า-เย็น, ยาทารักษาแผล ทาเช้า-เย็น และยารักษาเห็บ-หมัด


นอกจากนี้ เนื่องจากระบบประสาทยังไม่สมบูรณ์ การอึ-ฉี่ เขายังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาจะถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง และควบคุมไม่ได้ ต้องคอยเช็ดล้างตลอด จะเลอะเทอะบริเวณบ้าน ที่ให้เขาอยู่ เลยได้ความคิดว่าควรจะให้เขาอยู่ในกรงก่อนในระยะแรก คงแก้ปัญหาไปได้บ้าง


อีกอย่างเรื่องนิสัยของเจ้ามอเตอร์เวย์เนี่ย กับคนแล้วเขานิสัยดี น่ารัก แต่มีนิสัยเสียกับสุนัขด้วยกัน คือเวลามีสุนัขตัวอื่นเข้ามาใกล้ๆ ก็จะขู่เหมือนจะกัดตลอด โดยเฉพาะเวลามีของกินเนี่ย จะหวงเอามากๆ ก็เลยต้องระวังเอาไว้ เพราะจะต้องไปเลี้ยงคู่กับเจ้าหนูสวย ก็บอกพี่เขาว่าคงต้องไปปรับนิสัยกันใหม่ (อ้อ ลืมขอบคุณน้องปาล์ม ที่เอาโออิชิ มาเลี้ยงต้อนรับ)



โดย คุณวงศ์ กับคุณชายบิ๊ก - Thursday, 14 July 2005, 11:19PM
 

http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J3591389/J3591389.html

จากกระทู้เค้าว่ากันว่า...

ใจเย็นๆ ครับ...โรคหัดสามารถรักษาได้...เป็นกำลังใจให้ครับ

กินแบรนด์ได้ค่ะ กินa/dยิ่งดีใหญ่ ใส่syringeป้อนนะคะ ต้องบังคับให้กินค่ะ หรือใช้อาหารพวกไก่ต้ม ตับต้ม ไข่ต้มปั่นรวมกับข้าวและน้ำซุปผสมวิตามิน+เกลือแร่ใส่หลอดป้อนแล้วก็เสริมเจลพวกนิวตริสแตทด้วยก็ดีค่ะ วิตามินซีก็ได้ค่ะ เน้นว่าต้องกินนะคะ กินให้มากที่สุด เพราะถ้าไม่กินภูมิต้านทานไม่มีจะยิ่งแย่ค่ะ
โรคหัดเป็นเชื้อไวรัสไม่มียารักษาต้องให้ภูมิต้านทานร่างกายเพิ่มขึ้นมาจัดการกับเชื้อค่ะ และต้องระวังการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อนด้วย(พวกแบคทีเรียหรืออื่นๆ) ให้ยาคุมการติดเชื้ออื่นด้วยนะคะ

ตอนนี้พยามให้เค้ากินพวกอาหารโปรตีนสูงๆเข้าไว้ค่ะ ตอนโบกี้เป็น หมอจะให้ยาคุมการติดเชื้อแบบฉีดเข้าเส้นทุกวันเลยค่ะ ฉีดอยู่เกือบๆ 3 เดือนค่ะ ตอนไม่สบายจะพยามให้กิน a/d กะไข่ ค่ะ ละพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้เค้ากินทีละหน่อย แต่ให้บ่อยๆค่ะ พยามให้เค้าอยู่ในที่ๆอบอุ่น ถ้ามีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามท้อง ฝ่าเท้า หู ขาหนีบ เพื่อลดไข้คะ เพราะหมอจะไม่ให้ยาลดไข้เพราะมันจะไปกดภูมิคุ้มกันเค้าอีกที ทีนี้ก็รอให้ตัวเค้าสร้างภูมิขึ้นมากับไวรัสอีกทีค่ะ ตอนที่โบกี้เป็นหมอจะพยามให้ยาบำรุงให้เค้าอยากอาหารด้วยค่ะ พร้อมกับยาอีมูนซับพอร์ต ช่วยกระตุ้มภูมิคุ้มกัน แล้วรู้สึกว่ามียาเม็ดของคนที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยค่ะ เป็นยาเม็ดกลมๆสีเขียวอ่อนๆค่ะ หมอพยามสุดๆให้ได้โบกี้กลับมา ตั้งแต่เป็นคราวนั้นโตมาแข็งแรงสุดๆค่ะ ไม่เคยป่าวอีกเลย พยามกอดเค้าคุยกะเค้า บอกเค้าว่าเราอยากให้เค้าอยู่กับเราไปนานๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^ ^
***โบกี้ตอนเริ่มเป็นค่ะ อายุ 3 เดือน ได้วัคซีนครบหมดแล้วด้วยค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J3559622/J3559622.html เพิ่มเติมเรื่องอาหาร

เรื่องอาหารตอนนี้เค้าไม่อยากกินอะไรหรอกค่ะ แต่ต้องบังคับให้กิน โดย เอาข้าวหมาเด็กแบบกระป๋อง ยี่ห้ออะไรก็ได้ มาปั่นในที่ปั่นอาหารค่ะใส่น้ำเพิ่มนิดหน่อย ปั่นจนมันเหลว เป็นเหมือน มิลเชค สำหรับหมา แล้วเอาไซริงดูดมาป้อนค่ะ แล้วก็ซื้อซุปไก่สกัดให้กิน ใช้วิธีป้อน เน้นภาคบังคับ รวมถึงน้ำด้วยหากเค้าไม่ยอมกิน ต้องบังคับป้อนนะคะ ให้มีอาหารเข้าไปเพื่อให้มีแรงมาต่อสู้กับอาการของโรค

กล้วยน้ำหว้า ผสม น้ำผึ้งค่ะ ปั่นแล้วให้เค้ากิน

ไข่ต้มสุก วันละฟอง


โดย Pingpong \(-_-)/ - Tuesday, 12 July 2005, 05:57AM
 

ชีวิตพิศวงของแมลงหิมะ : แมลง 5 ชีวิต

   

Yukimushiตอนที่ผู้เขียนได้ยินคำว่า “ แมว 9 ชีวิต “ ยังนึกสงสัยว่าแมวมี 9 ชีวิตได้อย่างไร มารู้ทีหลังว่าเป็นการเปรียบเปรยความทรหดของแมวที่ไม่ยอมตายง่ายๆ แม้จะหกคะเมนตีลังกาตกลงมาจากที่สูงเพียงใดก็ตาม แต่พอผู้เขียนได้มาเห็นสารคดีเกี่ยวกับแมลงหิมะของสถานีโทรทัศน์ NHK ระหว่างที่ผู้เขียนศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนรู้สึกทึ่งในวงจรชีวิตของแมลงหิมะมาก แมลงโดยทั่วไปที่คนรู้จักมักจะมีวงจรชีวิตเดียว แม้ว่าจะเปลี่ยนสภาพจากตัวหนอนเป็นตัวอ่อน เป็นตัวดักแด้ แล้วจึงเป็นตัวเต็มวัยก็ตาม แต่วงจรชีวิตของแมลงหิมะจะมีหลายชีวิตเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในนั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นแมลงหิมะที่มีปีกโบยบินพร้อมกับปุยนุ่นคล้ายหิมะในปลายฤดูใบไม่ร่วง ผู้เขียนไม่ใช่นักกีฏวิทยา แต่พยายามค้นหาคำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่พบข้อเขียนใดๆที่เป็นภาษาไทย เพิ่งจะมีเวลาไปค้นข้อเขียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆนี้ จนพบคำตอบที่น่าสนใจ จึงอยากนำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง



ความน่าพิศวงของแมลงหิมะ
แมลงหิมะที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Yukimushi เป็นแมลงที่มีขนาดเล็กพอๆกับยุงหรือไม่ก็เล็กกว่า ที่ก้นของมันจะมีเส้นใยสีขาวเป็นก้อนเล็กๆคล้ายปุยนุ่นเกาะติดอยู่ พบในเกาะฮอกไกโดของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มันจะพร้อมใจกันโบยบินจากต้นไม้ที่ชื่อโทโดมะจึไปยังต้นยาจิดะโม เห็นเป็นละอองสีขาวเต็มท้องฟ้าดูราวกับว่าหิมะกำลังจะโปรยปราย จึงเป็นที่มาของชื่อแมลงหิมะ และชาวพื้นเมืองฮอกไกโดทราบกันดีว่า ถ้าเห็นแมลงหิมะโบยบินเมื่อใด นั่นเป็นสัญญาณว่าหิมะแรกของฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา และมักจะตกภายใน 1 อาทิตย์หลังจากที่แมลงหิมะบินอพยพไปยังที่อยู่แห่งใหม่
หลังจากที่แมลงหิมะบินอพยพไปยังต้นยาจิดะโมแล้ว มันจะออกลูกแล้วก็ตายไป จนกระทั่งปลายฤดูใบไม้ร่วงของปีถัดไป จึงจะเห็นแมลงหิมะออกมาโบยบินอีกครั้งหนึ่ง แต่ตัวที่โบยบินในปีถัดไปนั้นหาใช่ลูกของแมลงหิมะที่ตายไปเมื่อปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่า กว่าจะมาเป็นแมลงหิมะที่โบยบินได้ในปีถัดไปนั้น ลูกของแมลงหิมะเมื่อปีที่แล้วจะออกลูกออกหลานที่ไม่เหมือนแมลงหิมะอยู่หลายรุ่นหลายชีวิต(Generation)ก่อนที่จะกลับมาเป็นแมลงหิมะอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ลูกหลานแมลงหิมะแต่ละรุ่นจะเป็นตัวเมียทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกออกหลานได้โดยไม่ต้องผ่านการผสมพันธุ์
ในวงจรชีวิตของแมลงหิมะจะมีอยู่เพียงรุ่น(Generation)เดียวเท่านั้นที่มีตัวผู้ นั่นคือหลังจากที่แมลงหิมะบินอพยพไปยังที่อยู่ใหม่แล้ว มันซึ่งเป็นตัวเมียทั้งหมดจะออกลูกเป็นไข่ได้เองโดยไม่ต้องผสมพันธุ์ ไข่จะฟักเป็นตัวภายในเวลาไม่กี่วัน ตัวอ่ออนที่ฟักจากไข่ในรุ่นนี้จะมีทั้งตัวผู้และตัวเมียที่พร้อมจะผสมพันธุ์กันได้ในเวลาไม่กี่อาทิตย์ หลังจากที่ตัวอ่อนรุ่นนี้ผสมพันธุ์แล้วตายไป มันจะทิ้งลูกซึ่งเป็นไข่เพศเมียทั้งหมดไว้ที่ต้นยาจิดะโมท่ามกลางความหนาวเย็นของฤดูหนาวอันยาวนาน รอวันที่จะฟักตัวในต้นฤดูใบไม้ผลิ
ตัวที่ฟักออกมาในต้นฤดูใบไม้ผลินี้ถือว่าเป็นรุ่น(Generation)ที่ 1 มันจะออกลูกแพร่พันธุ์ได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ ลูกที่ออกมาในรุ่นที่ 2 จะเป็นตัวเมียทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งจะเจริญเติบโตและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นฤดูใบไม้ผลิ ใบอ่อนของต้นยาจิดะโมหมดไป แมลงหิมะในรุ่นที่ 2 นี้จะเริ่มมีปีกบางเบาออกมา(แต่ไม่มีปุยนุ่นสีขาวที่ก้น) แล้วจะพากันบินไปยังต้นโทโดมะจึ ให้กำเนิดลูกในรุ่นที่ 3 เป็นตัวเมียทั้งหมด ซึ่งจะใช้ชีวิตร่วมกับมดอยู่ที่โคนรากของต้นโทโดมะจึ พอใกล้ฤดูหนาว แมลงหิมะในรุ่นที่ 4 จะโผล่พ้นขึ้นมาเหนือพื้นดิน มีปีกบางเบาออกมาและมีปุยนุ่นสีขาวที่ก้น จากนั้นจะพากันบินไปยังต้นยาจิดะโม มองเห็นเป็นละอองขาวคล้ายหิมะ แมลงหิมะที่เรารู้จักกันก็คือชีวิตในรุ่นที่ 4 นี่เอง ซึ่งก็เป็นตัวเมียทั้งหมด แต่แมลงหิมะในรุ่นที่ 4 นี้ จะสามารถวางไข่ให้กำเนิดเพศผู้ได้ เพศผู้ที่ฟักออกจากไข่จะผสมพันธุ์กับเพศเมียในรุ่นเดียวกันนี้ซึ่งคือรุ่นที่ 5 ซึ่งถือเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่ไข่ของรุ่นที่ 5 จะฟักเป็นตัวในต้นฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นวงจรชีวิตใหม่เป็นรุ่นที่ 1 อีกครั้ง

ไขปริศนาวงจรชีวิตของแมลงหิมะ
ผู้เขียนได้ลองค้นหาปริศนานี้จากแหล่งความรู้ต่างๆบนอินเตอร์เน็ต จนได้คำตอบที่ไขข้อข้องใจได้พอสมควร ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
แมลงหิมะเป็นแมลงในกลุ่มเดียวกับเพลี้ย ซึ่งตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกได้ โดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์
ด้วยวิธีเช่นนี้จะทำให้มันสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และในบางรุ่นจะมีตัวผู้ออกมาเพื่อทำการผสมพันธุ์กับตัวเมียตามปกติ นัยว่าเพื่อไม่ให้ยีนของมันอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ การให้กำเนิดลูกได้โดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์นั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในพืช ลองดูต้นมะม่วงที่บ้าน นอกจากมันจะแพร่พันธุ์โดยใช้เกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียผสมกันออกมาเป็นเม็ดมัม่วงเอาไปใช้ปลูกได้แล้ว เรายังสามารถแพร่พันธุ์ต้นมะม่งโดยการนำกิ่งของมันไปเพาะเลี้ยง เป็นต้นใหม่
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ เรื่องของการมีปีกและไม่มีปีก แมลงไม่จำเป็นต้องมีปีกเสมอไป แมลงที่มีปีกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นแมลงที่โตเต็มวัยแล้ว เราจะไม่ค่อยได้พบเห็นแมลงมีปีกในขณะที่มันยังเล็กอยู่ ปีกของแมลงจะงอกออกมาในเวลาที่มีความจำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่อมีความจำเป็นในการย้ายถิ่นฐานเพื่อไปหาอาหารในแหล่งใหม่ๆ เป็นต้น




บทสรุป
โดยสรุปแล้ว แมลงหิมะที่เราเห็นว่ามี 5 ชีวิตหรือ 5 รุ่น อยู่ในวงจรชีวิตของมันนั้น ความจริงแล้วแต่ละรุ่นแต่ละชีวิตต่างก็เป็นแมลงหิมะเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีการปรับสภาพตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น ในยามที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ แมลงหิมะก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีปีกเพื่อย้ายถิ่นฐานไปไหน และมันจะทำการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วได้ด้วยตัวเมียเองโดยไม่ต้องผ่านการผสมพันธุ์ แต่เมื่อไหร่ที่อาหารขาดแคลน หรือมีความจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างยีนให้แข็งแรง มันก็จะมีปีกงอกออกมาเพื่อบินอพยพไปยังแหล่งที่อยู่ใหม่ หรือมันจะให้กำเนิดลูกที่มีทิ้งเพศผู้และเพศเมียเพื่อให้เกิดการผสมพันธุ์ระหว่างกัน เราจึงเห็นแมลงหิมะในแต่ละช่วงชีวิตมีลักษณะที่แตกต่างกันไปใน 1 ปี
เห็นแมลงหิมะมีวงจรชีวิตเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่าเราควร live beautifully เหมือนแมลงหิมะที่โบยบินในฤดูหนาวพร้อมที่จะก้าวสู่ชีวิตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
1. http://www.yukimushi.org

หมายเหตุ
ผู้เขียนไม่ใช่นักกีฏวิทยา อาจมีการปล่อยไก่ไปบ้างก็ต้องฝากผู้รู้ช่วยเพิ่มเติมเสริมแต่งให้ถูกต้องสมบูรณ์มากขึ้น ผู้เขียนยังพิศวงในปริศนาของโลกแมลงอีกหลายชนิด อีก 2 ตัวในนั้นคือ จักจั่น 17 ปี แมลงที่จะโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดินเพื่อลอกคราบและสืบพันธุ์ก่อนที่จะเห็นลูกมันอีกครั้งใน 17 ปีข้างหน้า และ water bear แมลงตัวจิ๋วคล้ายหมีมี 8 ขา ซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยๆปี แม้ปฏิกริยาชีวเคมีในร่างกายจะหยุดไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่มันได้รับน้ำเพียงหยาดหยด มันก็สามารถฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง มีรูปและรายละเอียดให้ดูที่ http://www.bangkaew.com/elearning/mod/forum/discuss.php?d=595 ถ้าผู้เขียนพบคำตอบที่ไขปริศนานี้ได้เมื่อไหร่จะนำมาเล่าสู่กันฟังใหม่ หรือหากผู้รู้ท่านใดจะช่วยกรุณาไชปริศนาให้ ก็จะขอบพระคุณอย่างสูง

วิเชียร เบญจวัฒนาผล
2 พฤษภาคม 2548
ชุมชนคนรักบางแก้ว


โดย เพื่อน . - Friday, 24 June 2005, 10:55PM
 

ในเมื่อมีการตั้งชมรมเป็นรูปเป็นร่างแล้ว น่าจะมีอะไรเป็นสัญลักษณ์ซักหน่อยดีกว่าไหมครับ ทำเป็นเสื้อโปโล เสื้อยืดคอกลม และสติกเกอร์แผ่นเล็ก แผ่นใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนในชมรมเดียวกัน ไปไหนก็มาไหนก็ทักทายกัน

-สำหรับเรื่องเสื้อนั้นอยากให้ทำตามจำนวนสั่งจอง ผู้ใดอยากได้ผู้นั้นสั่งจองครับตามไซด์ของผู้ที่ใส่ ตามจำนวน

-สำหรับเรื่องสติกเกอร์นั้น อยากให้ร่วมกันบริจาคคนละนิดหน่อยเพื่อมาเป็นทุนในการทำสติคเกอร์ เพื่อเอาไว้ตอบแทนผู้ที่บริจาคเงินเพื่อเข้าสมทบเป็นกองทุนในการช่วยสุนัขจรจัดครับ และเอาไว้มอบให้กับเพื่อนสมาชิกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนครับ

เอาหน่อยซิครับ ผมยินดีช่วยบริจาคเพื่อเป็นทุนในการทำสติคเกอร์นะครับ

"หยุดทิ้งสุนัข" ผมชอบคำนี้จังเลย เห็นเสื้อที่แฟนคุณนิวัติใส่ มีคำนี้อยู่ผมชอบมากครับ


โดย Pingpong \(-_-)/ - Monday, 20 June 2005, 01:57PM
 

ได้คุยกับคุณพชร คุณนิวัต และ คุณชนินทร์ ว่า ช่วงนี้เราคงไม่ได้ไปตั้งกฏระเบียบกันมากมาย กว่าจะหาคนที่พร้อมจะเป็นประธานอย่างป้าชัชมารับหน้าที่เป็นทัพหน้ามันแสนจะลำบากยากเย็น ดังนั้น ช่วงนี้ จึงขอประคับประคองให้ชมรมฯสามารถดำเนินภาระกิจไปได้สักระยะหนึ่งก่อน รอให้ชมรมฯมีความเข้มแข็งมากกว่านี้ ค่อยมากำหนดกฏระเบียบให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่คิดว่าคงต้องมีกรรมการที่ทำหน้าที่ นายทะเบียน มาดูแลและเสาะหาชักชวนสมาชิกเข้าชมรมฯ

บังเอิญไปเห็นของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขประเทศไทยมา เขาเพิ่งจัดตั้งกรรมการเสร็จ มีการอัพเดทเว็บไซต์ เลยเอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง ของเรานี่ สมาชิกก่อตั้งทุกคนขอให้มีส่วนเข้ามาร่วมอย่างไรอย่างหนึ่งดีไหม เช่น เป็นกรรมการกลางช่วยกันดูแลโครงการต่างๆ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ(ซึ่งเป็นงานหนักที่สุด)จะได้มีกำลังใจผลักดันให้โครงการต่างๆเป็นรูปเป็นร่างออกมา

ช่วยกันลองคิดกันดู
http://www.kcthailand.com/committee/body_committee.html

คณะกรรมการบริหาร
สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย)

นายกสมาคมฯ                พ.ต.อ.(พิเศษ) วีระพงษ์   สุนทรางกูล
อุปนายก                         คุณสมศักดิ์        เตชปีติ
เลขานุการ                      คุณธนา             อัจฉริยะวรรณ
เหรัญญิก                       คุณศุภชัย           ประกายสิทธิ์
วิเทศสัมพันธ์                  คุณพงศกร         พงษ์ศักดิ์
ประชาสัมพันธ์                คุณธเนศ            ธีรฐิตยางกูร
นายทะเบียน                   คุณราเชนทร์      สุวรรณพันธ์
ปฎิคม                            คุณต่อวงศ์          ตะล่อมสิน
กรรมการกลาง                คุณสันติ             เนรมิตพานิช
กรรมการกลาง                คุณชาย             กุลนิพัทธ์
กรรมการกลาง                คุณอัฐพร           ดำรงกุล


โดย ไตรสิทธิ์ . - Saturday, 18 June 2005, 10:34AM
 

ไม่อยากให้เรียกพี่เลย เพราะผมยังไม่แก่เลยนะ อายุก็แค่ไล่เรี่ยกับคุณน้อยหน่า กัดฟัน ไม่เชื่อดูได้ที่ http://vichienb.bangkaew.com

อยากให้คุยกันอย่างไม่ต้องเกรงใจ เอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องคำนึงถึงอย่างอื่น


กระทู้สุดท้ายของคุณวินที่ถูกลบไปโดยบังเอิญเท่าที่จำได้ รู้สึกจะตัดพร้อต่อว่าคน(ในอดีต)ที่คอยเอาแต่จะจับผิด และจะไม่เสียเวลามาสนใจกับคนเหล่านี้ที่ชอบมาป่วน


ผมเห็นด้วยครับ ว่า คนที่มือไม่พาย แต่ชอบเอาเท้าราน้ำ มีอยู่มากในสังคมเรา

เพียงแต่ที่ผมต้องคอยแนะนำนั้น เพราะผมรู้สึกว่า ผมมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของผมที่เคยให้ไว้กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ ม.ช ซึ่งคิดว่าคุณวินคงเข้าใจดี


ถ้าเรารับสุนัขมาดูแลมากเกินความสามารถที่จะจัดการให้ดีได้ แล้วสุนัขต้องมาตายก่อนเวลาอันควรโดยที่เราไม่ได้รับรู้ มันอาจจะเป็นบาปมากกว่าบุญก็ได้

จึงเป็นห่วงกับการขยายโครงการของคุณวิน ก็เลยเตือนมาด้วยความหวังดีทั้งต่อคุณวินเองและต่อหมาๆทั้งหลายในบ้านพัก

ชุมชนยังยินดีให้ความสนับสนุนต่อบ้านพักต่อไป แม้ว่าในบัญชีจะเหลือเงินอยู่ไม่มากนัก ดูยอดเงินได้ที่ http://www.bangkaew.com/elearning/mod/forum/discuss.php?d=450


ที่คุณนิวัต หรือ คุณพชร เสนอเกี่ยวกับ โครงการ Foster Home และ โครงการบางแก้วคืนถิ่น นั้น เราคงได้คุยรายละเอียดกันพรุ่งนี้ที่กระทรวงสาธาว่ามันจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไร

แต่ผมคิดว่าคงไม่ทำอะไรใหญ่โต เพราะดูตามสภาพความเป็นจริงแล้ว เราคงไม่สามารถทำอะไรใหญ่โตได้ และคงต้องร่วมมือกับคุณวินและเรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณวินอยู่ดี

เราคงไม่สามารถเปิดรับบางแก้วตกยากทุกตัวเข้ามาอยู่ในโครงการได้โดยไม่มีเงื่อนไข เงื่อนไขที่อาจจะโดนด่าบ้างว่าทำไมเลือกปฏิบัติต่อสุนัขตกยาก คำตอบก็คือ ถ้าเรารู้ว่าเราทำได้ไม่ดี ก็จะไม่รับเกินกำลังตนเองให้เป็นบาปซ้ำสองต่อตัวสุนัข ผลจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่เวรกรรมของตัวสุนัข และ บาปกรรมของผู้ทอดทิ้ง


แง่คิดเชิงบวกที่ผมได้จากบทความของท่านจำลองคือ เราคงไม่รับเข้ามาแค่เลี้ยงเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีมาตรการเสริมอย่างอื่นๆเพื่อเป็นการรณรงค์ให้คนไม่ทอดทิ้งบางแก้ว แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ หาบ้านใหม่ให้บางแก้วไม่ได้ ก็อาจจะส่งบางแก้วคืนถิ่นเพื่อสร้างสวรรค์ของบางแก้วขึ้นมาที่หมู่บ้านบางแก้ว อ.บางระกำ เป็นการสืบสานตำนานบางแก้ว ตามความฝันของหมอนิสิตต่อไป ( ดูวัดบางแก้วได้ที่กระทู้ http://www.bangkaew.com/elearning/mod/forum/discuss.php?d=403 )


หน้า: (หน้าก่อน)   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  (ต่อไป)