การทำงานของเชื้อโรคที่มีต่อลูกๆเรา และอาการที่จะแสดงออกเป็นดังนี้ครับ เมื่อเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว เชื้อจะเพิ่มจำนวน และแพร่ทางหลอดน้ำเหลืองไปยังต่อมน้ำเหลือง เมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมก็จะเกิดกลไกทำลายเชื้อโรค ทำให้ต่อมน้ำเหลืองถูกทำลายไปพร้อมๆกับเชื้อไวรัส อาการในช่วงแรกนี้พบว่ามีไข้สูง และอาจพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวที่คอยเก็บกินไวรัสพวกนี้จะต่ำลง จากนั้นเชื้อที่เหลือจะแพร่กระจายไปยังเยื่อบุอวัยวะต่างๆ โดยเป้าหมายแรกคือทางเดินหายใจ อาการจาม น้ำมูกใส น้ำตาคลอเบ้าจะปรากฏให้เห็น อาการที่แสดงในระยะต้นนี้คล้ายคลึงกับอาการของไข้หวัด จึงอาจทำให้เราสับสนได้ว่าเป็นไข้หวัดหรือไข้หัดกันแน่ เนื่องจากเชื้อก่อโรคเป็นไวรัส แน่นอนค่ะว่ามันต้องกดภูมิคุ้มกันของสุนัขอย่างแน่นอน ช่วงนี้จะมีแบคทีเรียและเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน สุนัขที่อ่อนแอจะเริ่มแสดงอาการมากขึ้น จากเดิม จาม 1-2 ครั้ง น้ำมูกน้ำตาใส ก็จะเริ่มมีน้ำมูกข้นสีเหลืองจนถึงเขียว ขี้ตาเกรอะกรังรอบตา จมูกและฝ่าเท้าเริ่มหนาและด้านขึ้น มีตุ่มหนองใต้ท้อง ไอถี่เหมือนมีอะไรติดคอและทำท่าพยายามขากอะไรออกมา อาจเป็นสารคัดหลั่งสีขาวปนออกมาเล็กน้อย มาถึงระยะนี้ต้องระวังปอดบวมเป็นพิเศษแล้วล่ะค่ะ
เชื้ออีกส่วนหนึ่งที่แพร่ไปยังเยื่อบุอวัยวะอื่นๆ ได้แก่เยื่อบุทางเดินอาหาร เยื่อบุระบบสืบพันธุ์และระบบขับถ่าย จะทำลายต่อมน้ำเหลืองอื่นๆทั่วร่างกายจนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขถูกทำลายเสียหายในเวลาต่อมา ช่วงนี้จะเริ่มมีอาการถ่ายเหลว สีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลเป็นระยะ ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ค่อยๆสูงขึ้นอย่างช้าๆ จนอาจทำให้สัตว์รอดชีวิตได้ซึ่งพบได้ในกรณีที่สุนัขได้รับไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรงมากนักหรือไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ไวรัสจะคงอยู่และแพร่ไปยังม่านตา, เซลส์ประสาท, ฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการแสดงอาการทางประสาทให้เห็น ได้แก่ กล้ามเนื้อขากระตุก ขาหลังอ่อนแรง เดินโซเซ เดินเอียงวนเป็นวงกลม ตากรอกไปกรอกมา ไม่สู้แสง จนถึงตาบอด และอาจมีชักและเคี้ยวปากได้ในระยะต่อมาซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค พบว่ามี 10-20 % ที่สามารถรอดชีวิตได้แต่ยังคงแสดงอาการทางประสาทซึ่งอาจต้องกินยาควบคุมอาการชักไปตลอดชีวิต |